ข้าวสารัช “ข้าวหอมมะลิบนแผ่นดินนกกระเรียน”

นุชจรี พืชคูณ
หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ สำนักอนุรักษ์และวิจัย
องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

 

การหายไปของนกกระเรียนพันธุ์ไทย

         “นกกระเรียนพันธุ์ไทย” เป็น 1 ในสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งเคยมีสถานภาพสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติของประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2517 และจัดอยู่ในสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (VU) นกกระเรียนพันธุ์ไทยเป็นนกที่มีส่วนสูงประมาณ 176 เซนติเมตร หนักประมาณ 6.35 กิโลกรัม และมีระยะปีกกว้างประมาณ 240 เซนติเมตร (Northcote, 1984) และถิ่นมีอาศัยคือพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทราบลุ่ม ที่ชื้นแฉะ แหล่งน้ำและนาข้าว ที่ถูกคุกคามอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2448 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้มีพระนิพนธ์เกี่ยวกับ “ลานนกกระเรียน” จากการไปตรวจราชการหัวเมืองในมณฑลอุดรกับมณฑลอีสาน เขตจังหวัดนครราชสีมา ตามทางที่ไปมีพื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งใหญ่ๆ หลายแห่งที่ทำไร่ทำนาไม่ได้เพราะเป็นที่ลุ่ม ฤดูแล้งดินแห้งแข็ง พอถึงฤดูฝนน้ำก็ท่วมจนไม่สามารถปลูกพืชชนิดใดๆ ได้ มีเพียงแต่นกกระเรียนพันธุ์ไทยมาทำรังวางไข่ในทุ่งนั้นเป็นหมื่นเป็นแสนตัว พอถึงช่วงสิ้นสุดฤดูหนาวลูกนกก็บินได้และพากันหายไปหมด และเมื่อถึงช่วงฤดูฝนก็กลับมาทำรังอีกครั้งเป็นประจำทุกปี โดยนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่มีเลี้ยงกันตามบ้านในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็ล้วนดักเอาลูกนกไปจากทุ่งนี้ทั้งนั้น

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยเริ่มพัฒนาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชาชนต้องการพื้นที่ทำกินเพิ่มขึ้นจึงเกิดการคุกคามและเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำไปเป็นพื้นเกษตรเชิงพาณิชย์ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำและความอุดมสมบูรณ์ของถิ่นอาศัยของนกกระเรียนพันธุ์ไทย (อนาวิน และปิยะกาญจน์, 2558) ประชากรนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่เคยอยู่อาศัย ทำรังวางไข่ลดจำนวนลง จนกระทั่งนกกระเรียนพันธุ์ไทยได้สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2517 ซึ่งในปีพ.ศ. 2559 พบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวประมาณ 60 ล้านไร่ และถือเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก พื้นที่เพาะปลูกข้าวนี้เปลี่ยนแปลงมาจากพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติ ซึ่งคือถิ่นอาศัยของนกกระเรียนพันธุ์ ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้น คือประเทศไทยยังคงมีพื้นที่เหมาะสมกับการเป็นแหล่งอาศัยของนกกระเรียนพันธุ์ไทยในธรรมชาติหรือไม่

 

 

 

นาข้าวอินทรีย์กับการกลับมาของนกกระเรียนพันธุ์ไทย

จากคำถามสู่การหาคำตอบ โดยการสำรวจ รวบรวม สอบถาม สืบค้น และอ้างอิงจากข้อมูลนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่ยังคงเหลืออยู่ในธรรมชาติของประเทศกัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา และชนิดพันธุ์ที่ใกล้เคียงกันอย่างนกกระเรียนพันธุ์อินเดีย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่านกกระเรียนพันธุ์ไทยในประเทศกัมพูชาและเวียดนามส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติ

ประชากรนกกระเรียนพันธุ์ไทยได้หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งเนื่องมาจากความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชนและชุมชนท้องถิ่น ภายใต้การดำเนินงาน“โครงการนำประชากรนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ” ซึ่งรับผิดชอบหลักโดยองค์การสวนสัตว์ (นุชจรี, ปิยะกาญจน์ และบริพัตร, 2557) หลังจากที่มีการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติในพื้นชุ่มน้ำจังหวัดบุรีรัมย์ คือที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติของประเทศไทย ตามอนุสัญญาแรมซาร์ โดยในช่วงแรกยังคงพบนกอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทพื้นที่ชุ่มน้ำและหนองน้ำ แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งที่นกสามารถปรับตัวได้ จึงเริ่มพบนกบางส่วนอพยพไปอาศัยในพื้นที่นาข้าวที่อยู่รอบพื้นที่อ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำค่อนข้างสูง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ในช่วงปี พ.ศ. 2559-2561 พบการทำรังวางไข่ของนกกระเรียนพันธุ์ไทยในธรรมชาติครั้งแรก สัดส่วนร้อยละ 70-80 ของรังทั้งหมดถูกค้นพบในพื้นที่นาข้าว และลูกนกที่รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็เกิดในนาข้าวเช่นเดียวกัน เหตุผลหนึ่งของการเลือกทำรังในนาข้าว เนื่องจากพื้นที่นาข้าวในจังหวัดบุรีรัมย์เป็นมีลักษะดินที่อุ้มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม มีอาหารพอเพียง และพฤติกรรมของเกษตรกรไม่ก่อให้เกิดการรบกวนต่อสัตว์ป่า ในขณะที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำมีระดับน้ำที่สูงเกินไป และมีกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่อาจเป็นที่รบกวนต่อสัตว์ป่า จึงทำให้ “นาข้าว” กลายเป็นพื้นที่อาศัยและทำรังวางไข่ที่สำคัญของนกกระเรียนพันธุ์ไทย

ปัจจุบัน เกษตรกรที่ทำนาข้าวจังหวัดบุรีรัมย์ได้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวจากรูปแบบของเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ และส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยให้มีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System; PGS) และด้วยการจัดการความรู้ที่มีการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้เกษตรกรสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับนกกระเรียนพันธุ์ไทยได้การเสริมสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมแก่องค์กรชุมชนผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทย จะนำไปสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รักษาสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ความยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการผลิตข้าวอินทรีย์ ดังนั้น ข้าวอินทรีย์จึงเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าวิถีเกษตร ชาวนา และนกกระเรียนพันธุ์ไทย ล้วนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เป็นไปตามคำขวัญที่ว่า “กระเรียนเคียงฟ้า นาอินทรีย์เคียงดิน มีกินยั่งยืน”

ผลจากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการปรับสถานภาพทางของนกกระเรียนพันธุ์ไทยในบัญชีแดงด้านการอนุรักษ์ (Thailand red list data) จากสัตว์ที่สูญพันธุ์จากธรรมชาติ (Extinct in the wild; EW) เป็นสัตว์ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critical endangered; CR) และถือเป็นก้าวหนึ่งของความสำเร็จที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการที่จะนำสัตว์ที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วกลับมาของประเทศไทย ด้วยความร่วมมือร่วมใจในการอนุรักษ์ของชุมชนท้องถิ่น โดยหวังให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และเป็นตัวแทนของความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ป่านอกพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศไทย

 

 

เครือข่ายชุมชนเกษตรอินทรีย์กับการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย

การอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยนั่นมีความสัมพันธ์กับพื้นที่นาข้าวและชาวนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การพัฒนาองค์กรชุมชนผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ การเสริมสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม การพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของข้าวอินทรีย์ จึงเป็นกลไกที่สำคัญที่สนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรแบบเคมีให้เป็นเกษตรอินทรีย์ และมีการพัฒนากลุ่มชุมชนนำร่องเพื่อพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบการผลิตข้าวอินทรีย์เพื่อการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย

องค์การสวนสัตว์ได้พัฒนากลุ่มชุมชนนำร่องกลุ่มแรกคือ “กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านสวายสอ” ซึ่งมีนายทองพูน อุ่นจิตต์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานกลุ่ม มีสมาชิกประมาณ 80 คน รวมพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิประมาณ 1,500 ไร่ บริเวณตอนบนของพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก อันเป็นบริเวณแรกที่มีการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติและเป็นพื้นที่ตั้งโครงการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ แต่เดิมนั้น ผู้ใหญ่ทองพูน ได้ทดลองทำการเกษตรแบบลดการใช้สารเคมี แต่ยังคงทำภายในพื้นที่เกษตรของตนเท่านั้น และมีจัดจำหน่ายข้าวของตนเองภายใต้สัญลักษณ์ทางการค้าที่ชื่อว่า “ข้าวอุ่นจิตต์” เมื่อองค์การสวนสัตว์ได้พัฒนากลุ่มชุมชนนำร่องและชักชวนให้เข้าร่วมโครงการฯ กลุ่มฯ จึงได้จดจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในชื่อ“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านสวาย” และมีเพจเฟซบุ๊กชื่อว่า “ข้าวอุ่นจิตต์” เพื่อส่งเสริมการขายและให้ข้อมูลข้าวสารเกี่ยวกับข้าวอินทรีย์ ทั้งนี้ องค์การสวนสัตว์และสถานีพัฒนาที่ดินบุรีรัมย์ยังร่วมกันผลักดันกลุ่มผู้ผลิตข้าวเข้าสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System: PGS) มีการสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาเพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านข้าวอินทรีย์ที่เหมาะสม รวมถึงการจัดการความรู้ด้านการผลิตข้าวอินทรีย์อย่างเป็นระบบ และพัฒนาปราชญ์ชุมชนเพื่อเป็นที่ปรึกษาและให้ความรู้ด้านการผลิตข้าวอินทรีย์แห่สมาชิกและผู้สืบทอด ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านสวายมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิภายใต้สัญลักษณ์ “ข้าวสารัช” หรือ “SARUS RICE” และพัฒนาชุมชนให้เป็นสู่หมู่บ้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีนกกระเรียนพันธุ์ไทยเป็นสัญลักษณ์

“SARUS RICE” มาจากชื่อทั่วไป (Common name) ของนกกระเรียนพันธุ์ไทย (Eastern Sarus Crane) ดังนั้น ในภาษาไทยจึงใช้คำว่า “ข้าวสารัช” ซึ่งคำว่า สารัช” โดยทั่วไปหมายถึง ความดีงาม ความเป็นแก่นสาร และสอดคล้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ที่ได้ระบุว่า “สารัตถะ หรือสารัตถประโยชน์” หมายถึง ประโยชน์ที่เป็นแก่นสาร หรือประโยชน์ที่ยั่งยืนถาวร อาจกล่าวโดยสรุปว่า “ข้าวสารัช” หมายถึง ข้าวที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของชุมชนในการผลิตเพื่อความคงอยู่ของระบบนิเวศที่เป็นถิ่นอาศัยของนกกระเรียนพันธุ์ไทย และสมดุลของธรรมชาติ

นอกจากนี้แล้ว องค์การสวนสัตว์ยังได้ส่งเสริมชุมชนนำร่องอีก 2 แห่งคือ “กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านเกียรติเจริญ” ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ และ “กลุ่มโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ตำบลสะแกซำ” ตำบลสะแกซำ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ สำหรับกลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านเกียรติเจริญ มีสมาชิกประมาณ 100 คน รวมพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิประมาณ 2,300 ไร่ บริเวณบริเวณตอนบนของพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งที่สองที่มีการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ และที่กลุ่มโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ตำบลสะแกซำ มีสมาชิกประมาณ 90 คน รวมพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิประมาณ 1,500 ไร่ ทางบริเวณตอนบนของพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด ซึ่งเป็นแหล่งอำนวยน้ำของอ่างเก็บน้ำสนามบิน อีกทั้ง โดยรอบอ่างเก็บน้ำห้วยตลาดยังพบการเข้าไปอาศัยและทำรังวางไข่ของนกกระเรียนพันธุ์ไทยหลังปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ ได้เข้าสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System: PGS) รวมทั้งพัฒนาการผลิตและสร้างเครือข่ายสู่การพึ่งตนเอง และได้รับการส่งเสริม ฝึกอบรม ให้ความรู้ และศึกษาดูงานด้านการทำเกษตรอินทรีย์ร่วมกับองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกกระเรียนพันธุ์ไทย และอยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้ข้าวหอมมะลิเป็นวัตถุดิบภายใต้สัญลักษณ์ “ข้าวสารัช-SARUS RICE” (องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2560)

 

 

 

ทางรอดของนกกระเรียนพันธุ์ไทย ผ่านระบบการพึ่งพาของความหลากหลายทางชีวภาพ

ให้นกกระเรียนพันธุ์ไทยได้รับการดูแลอย่างดีและเป็นมิตรด้วยความร่วมมือร่วมใจของชุมชนท้องถิ่นผ่านการผลิตแบบอินทรีย์ ด้วยสัญลักษณ์ “ข้าวสารัช” รวมถึงมีการถ่ายทอดจากปากต่อปาก จากชุมชนสู่ชุม จากเครือข่ายสู่เครือข่าย ทำให้ผลิตภัณฑ์ เริ่มเป็นที่รู้จัก และเป็นที่สนใจของผู้ที่นิยมสินค้าอินทรีย์ นำพาให้ชุมชนสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์บนแผ่นดินนกกระเรียน มีรายได้ที่มั่นคง บนฐานของความตระหนักในการเห็นคุณค่าและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ และสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น จนพัฒนาไปสู่การเข้ามามีส่วนร่วม และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนอัตราการตายของนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่ลดลง และความสำเร็จในการขยายพันธุ์ของนกกระเรียนพันธุ์ไทยในนาข้าวที่เพิ่มมากขึ้น

“ข้าวสารัช-SARUS RICE” อาจกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยที่มาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และไม่ใช่แค่เพียงการบริโภคข้าวอินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดนั้นการสนับสนุนการซื้อผลิตภัณฑ์ข้าวสารัช มีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากความเสียหายของนาข้าวที่มีนกกระเรียนพันธุ์ไทยไปอาศัยและทำรัง ช่วยให้เกษตรกรมีกำลังใจในการดูและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีรายได้ที่มั่นคงและผลิตอาหารที่มีคุณภาพ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงเป็นผู้ที่มีส่วนในการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยและพื้นที่ชุ่มน้ำ และเป็นผู้บอกต่อเรื่องราวความสำเร็จของโครงการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ ผ่านการสนับสนุนและบริโภคข้าวสารัช ผลของความร่วมมือร่วมใจนี้จะสามารถรักษาพื้นที่อาศัยของนกกระเรียนพันธุ์ไทยให้ปลอดภัย และประชากรนกกระเรียนพันธุ์ไทยยังสามารถคงอยู่ได้ เกิดความสมดุลและความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืนต่อไป

 

เอกสารอ้างอิง

  1. หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล. 2534. พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ. 2491 “ลานนกกระเรียน”. ประเทศไทย.
  2. นุชจรี พืชคุณ, ปิยะกาญจน์ เที้ยธิทรัพย์ และ บริพัตร ศิริอรุณรัตน์. 2557. การพัฒนาแบบจำลองเชิงพื้นที่ เพื่อประเมินถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม สำหรับประชากรนกกระเรียนพันธุ์ไทย. วารสารสัตว์ป่าเมืองไทย 21(1): 82-94.
  3. องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. 2560. รายงานฉบับสุดท้ายโครงการศึกษาสำรวจข้อมูลโดยรอบพื้นที่ชุ่มน้ำ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาดและพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จังหวัดบุรีรัมย์.
  4. อนาวิน สุวรรณะ และ ปิยะกาญจน์ เที้ยธิทรัพย์. 2558. การอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยโดยชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์. วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต 3(1): 17-28.
  5. Johnsgard P.A. 1983. Cranes of the world. Bloomington: Indiana university press.
  6. Meine C.D. and Archibald G.W. 1996. The cranes: Status survey and conservation action plan. Ottawa, Canada: MOM Printing.
  7. Mukherjee A, Borad CK and Parasharya BM. 2002. Breeding performance of the Indian sarus crane in the agricultural landscape of western India. Biological conservation 105(2): 263-269.
  8. Mukherjee A, Soni VC, Borad CK and Parasharya BM. 2000. Nest and eggs of Sarus Crane (Grus antigone antigone Linn). Zoos’ print journal 15(12): 375-385.
  9. Sundar KS. 2009. Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?. The condor 111(4): 611-623.
  10. 10. Sundar K.S. and Choudhury B.C. The Indian Sarus Crane Grus a. antigone: A Literature Review. Journal of Ecological society 16: 16-41.

5 นกสวยในเมือง

เรื่อง : อุเทน ภุมรินทร์ ภาพ : วิชญนันท์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ

 

ขอแนะนำนกสามัญประจำบ้านที่เราล้วนคุ้นหน้าคุ้นตา แถมยังสุดสวย ชวนให้เรามาเฝ้ามอง สัก 5 ชนิดนะครับ ป.ล. ทั้ง 5 อันดับอาจไม่ตรงใจผู้อ่าน หลายท่านอาจแย้งว่า นกในเมืองชนิดอื่นที่สวยกว่านี้ก็มี ทำไม? ไม่ติดใน 5 อันดับ ต้องยอมรับเลยว่า ผู้เขียนเอาใจตัวเอง เลือกนกเมืองที่พบได้บ่อยตามสวนสาธารณะ มานำเสนอก่อนครับ

1.นกตีทอง / Coppersmith Barbet (Psilopogon haemacephala) ขนาด : 16-17 ซม.

นกแสนสวยที่พบได้ง่ายแม้ในเมืองหลวง เจ้าของเสียงร้อง “ต๊ง ต๊ง…” ก้องกังวาน จนเป็นที่มาของชื่อ เพราะฟังเสียงราวกับมีใครไปตีทองคำอยู่บนยอดไม้นกชนิดนี้ มีลำตัวด้านบนสีเขียว หน้าผากสีแดง ใบหน้าสีดำ มีคิ้ว บริเวณใต้ตา และคอสีเหลือง ตัดกันกับแถบสีแดงบริเวณคอด้านล่าง อกตอนบนสีเหลือง อกตอนล่างและท้องสีขาวอมเหลืองมีลายขีดสีเขียวกระจายทั่ว เจ้าตีทองทำรังเลี้ยงลูกน้อยในโพรงไม้เช่นเดียวกับกลุ่มนกโพระดกชนิดอื่น โดยใช้ปากที่หนาและแข็งแรง เจาะโพรงตามกิ่งไม้ที่แห้งตายคาต้น พวกมันกินผลไม้ เช่น ไทร ตะขบฝรั่ง เป็นอาหารหลัก

2.นกกินปลีอกเหลือง / Olive-backed Sunbird (Cinnyris jugularis) ขนาด : 11 ซม.

เราคงรู้จักนกฮัมมิ่งเบิร์ด จนเข้าใจว่า “เคยเห็นนกฮัมมิ่งเบิร์ดมากินน้ำหวานที่ดอกไม้หน้าบ้าน” ทั้งๆที่มันไม่พบในประเทศไทย ต้องชี้แจงชัดๆ ว่า นกกินปลี (Sunbirds) และ Hummingbirds เป็นนกคนละกลุ่มกัน แต่ที่มีหน้าตาดูเผินๆ คล้ายกัน เพราะทั้งสองต่างวิวัฒนาการมาให้มีปากยาว เหมาะสำหรับไว้จิ้มเข้าไปในช่อดอกไม้ เพื่อใช้ลิ้นเลียกินน้ำหวานเหมือนๆ กัน นกชนิดนี้ทั้งสองเพศมีลำตัวด้านล่างสีเหลืองสด นกตัวเมียไม่มีสีน้ำเงินเข้มที่คอเหมือนตัวผู้ และมีแถบคิ้วสีเหลือง แต่นกตัวผู้ชุดขนหลังจับคู่ผสมพันธุ์ (eclipse plumage) มีแถบสีน้ำเงินเข้มเฉพาะที่กลางคอเท่านั้น

นกชนิดนี้พบได้ในถิ่นอาศัยที่หลากหลาย เช่น ตามสวนหลังบ้าน สวนสาธารณะ ต้นมะพร้าวที่ออกดอก เป็นต้น

เพศผู้
เพศเมีย

3.นกกะเต็นน้อยธรรมดา / Common Kingfisher (Alcedo atthis) ขนาด : 16-18 ซม.

นกกะเต็นชนิดนี้มีขนาดเล็กพอๆ กับนกกระจอกบ้าน แต่มีสีสันสวยงาม และปากยาวโตไม่สมตัว มักพบเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ หรือตอไม้ 1-2 เมตรเหนือพื้นน้ำ มีนิสัยชอบกระดกหางและหัวขึ้น-ลง เมื่อมองเห็นเหยื่อ ได้แก่ ปลา และกุ้งตัวเล็กๆ โดยมันจะพุ่งจับปลาบริเวณผิวน้ำ หรือดำลงไปเล็กน้อย แล้วจับเหยื่อมาเกาะบนตอไม้เดิม กลืนกินเหยื่อโดยโยนขึ้น แล้วงับให้ส่วนหัวของเหยื่อลงสู่ท้องก่อน เจ้ากะเต็นน้อยเป็นนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ พบได้ทั่วประเทศ มักพบใกล้แหล่งน้ำ ป่าชายเลน ชายทะเล พบได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคมจนถึงเดือนเมษายน

4.นกสีชมพูสวน / Scarlet-backed Flowerpecker (Dicaeum cruentatum) ขนาด : 9 ซม.

นกจิ๋วชนิดนี้ เป็นกลุ่ม “นกกาฝาก (Floverpecker)” เพราะมีอุปนิสัยที่มักกินน้ำหวานและผลไม้จากต้นไม้ตระกูลกาฝาก–พืชเบียน (parasite) ขึ้นเกาะบนกิ่งของต้นไม้ชนิดอื่น อาศัยดูดอาหารจากต้นที่มันเกาะ เมื่อนกกินผลกาฝากจนอิ่มแล้ว มันจะถ่ายเมล็ดกาฝากที่มียางเหนียวหนืดราวกับกาวน้ำออกมา นกกาฝากจึงต้อง “เช็ดก้น” กับกิ่งไม้ให้อุจจาระหลุดจากก้น เมล็ดในมูลนกจะงอกและโตเป็นกาฝากต้นใหม่ต่อไป

ชื่อนกในภาษาอังกฤษเรียกตามแถบสีแดงสดตลอดแนวกลางหลังของนกตัวผู้ ตัดกับลำตัวสีดำขลับที่เมื่อต้องแสงจะเหลือบสีน้ำเงิน ส่วนนกตัวเมียลำตัวสีน้ำตาล มีสีแดงแค่เพียงบริเวณตะโพกเท่านั้น ลำตัวด้านล่างของทั้งสองเพศสีขาว นกวัยเด็กมีลำตัวสีน้ำตาลเหมือนตัวเมีย แต่มีโคนปากสีส้ม นกตัวผู้วัยเด็กมีขนสีแดงแซมตามกระหม่อมและหลัง

“เจ้าเล็กบินเร็ว” ชนิดนี้ ปรับตัวอยู่อาศัยตามสวนและในเมืองได้ดี พบได้ง่ายมากทั่วทุกภาค ตามต้นตะขบบ้านที่ออกผลหรือตามต้นกาฝากที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ใหญ่

เพศผู้
เพศเมีย

5.นกพญาไฟเล็ก / Small Minivet (Pericrocotus cinnamomeus) ขนาด : 14.5-16 ซม.

เสียงร้องดัง “วี๊ดๆๆๆ” แหลมสูง ดังมาจากยอดไม้ก่อนที่จะเห็นตัวนก หากเงยหน้าขึ้นมองจะเห็นนกสีส้ม สีเทา สีเหลืองในตัวเดียวกัน มันคือ นกพญาไฟเล็ก นกสีสันสดใสนี้ มักกระโดดไปตามกิ่งไม้ สอดส่องหาหนอนบุ้ง และแมลงกินเป็นอาหาร นอกจากขนาดตัวที่เล็กกว่านกพญาไฟชนิดอื่นๆ เล็กน้อยแล้ว นกพญาไฟเล็กยังมีสีสันแตกต่างจากนกพญาไฟชนิดอื่นชัดเจน โดยตัวผู้มีลำตัวด้านบนสีเทาอ่อน อกสีส้ม คอสีเทาเข้ม แถบปีกสีส้ม ตัวเมียมีลำตัวด้านบนสีเทาอ่อน ท้องสีเหลืองจางๆ

นกชนิดนี้เป็นนกประจำถิ่น พบได้บ่อยตามพื้นที่สีเขียวของเมืองหรือชานเมือง มักพบหากินเป็นฝูงระดับกลางเรือนยอดต้นไม้

เพศผู้
เพศเมีย

สนใจดูนกในเมือง สามารถเข้าร่วมกิจกรรม “Bird walk เดินชมนกในสวน” เป็นประจำทุกเดือนกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย (BCST) พาเดินชมธรรมชาติฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.bcst.or.th/essential_grid/bird-walk

มหากาพย์การอพยพ

นกนับพันล้านตัวอพยพกันทุกปี ข้ามมหาสมุทร ทะเลทลาย เทือกเขา กระทั่งข้ามซีกโลกเพื่อเสาะหาภูมิอากาศและอาหารที่ดีกว่า จากเส้นทางการเดินทางของนก ราวครึ่งหนึ่งของชนิดพันธ์ทั้งหมดที่อพยพ ใช้เวลาเดินทางนานเป็นเดือนๆ รวมเวลาพักและเติมพลังงาน และการปรับตัวทางกายภาพเท่านั้นที่ทำให้การเดินทางอันท้าทายของนกเหล่านี้เป็นไปได

ธรรมชาตินำทางนกอพยพ
การเดินทางอย่างยาวนานของนกอพยพต้องอาศัยแหล่งพลังงานสะสมและความสามารถด้านการนำทางอย่างล้ำเลิศ ความสามารถนี้ มันถูกฝังอยู่ในตัวนกอพยพ ด้วยการถูกกระตุ้นโดยการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อุณหภูมิ และอาหารที่มี ล้วนเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากในการทำให้นกนั้นอพยพ จากการวิจัยนกอพยพใช้เบาะแสหลายอย่างในการนำทาง ได้แก่

1. ดวงอาทิตย์ และดวงดาว : นกนั้นจะมองดวงอาทิตย์และดวงดาวเพื่อนำพาตนเองไปในทิศทางที่ถูกต้อง และใช้กำหนดเวลาการอพยพประจำปี เมื่อช่วงเวลากลางวันหดสั้นลงเรื่อยๆนั้นหมายถึงเวลาที่ต้องอพยพใกล้มาถึงแล้วนั่นเอง

2. จุดเด่นบนภูมิประเทศ : นกที่อพยพในช่วงกลางวันสามารถใช้จุดเด่นบนภูมิประเทศ เช่น เทือกเขา แม่น้ำ และแนวชายฝั่งในการนำทาง นกมักยึดเส้นทางที่คุ้นเคยในการกลับไปยังแหล่งเดิมปีแล้วปีเล่า

3. นำทางด้วยสนามแม่เหล็กโลก : นกบางชนิดมีตัวตรวจจับในดวงตาที่ช่วยตรวจจับสนามแม่เหล็ก และมีแร่แมกนีไทต์ซึ่งเป็นแร่ที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กซึ่งอยู่ในจะงอยปาก เพื่อช่วยบอกทิศทางในการบิน
ความสามารถในการนำทางนี้ทำให้พวกนกอพยพระยะไกลสุดขั้วสามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรและทวีปเพื่อไปยังแหล่งทำรังและแหล่งอาหารตามฤดูกาลได้นั่นเอง

อุปสรรคที่ในการอพยพ
นกอพยพเผชิญอันตรายนานัปการ แต่ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดคือมนุษย์ การชนเข้ากับโครงสร้างต่างๆ กังหันลม ฯลฯ โดยเฉพาะสถานที่ที่เปิดไปสว่างยามค่ำคืน แสงไฟของเมืองทำให้นกที่อพยพช่วงกลางคืนสับสน จึงสามารถฆ่านกเป็นล้านๆตัวในแต่ละปี เพราะมันส่งผลกระทบต่อการกำหนดเวลาเดินทางทำให้ ความสำเร็จในการอพยพลดลงมาก

อ้างอิงจาก นิตยสาร National Geographic ฉบับ มีนาคม 2561

Spotted Greenshank

นอกจาก “น้องสปูนนี่” หรือนกชายเลนปากช้อน (Spoon-billed Sandpiper) แล้ว รู้หรือไม่ว่าเมืองไทยยังเป็นแหล่งพักพิงที่สำคัญในช่วงฤดูหนาวสำหรับนกชายเลนอพยพที่ใกล้สูญพันธุ์ในระดับโลกที่มีชื่อว่า นกทะเลขาเขียวลายจุด (Spotted Greenshank หรือ Nordmann’s Greenshank; Tringa guttifer) อีกด้วย

ปัจจุบันคาดว่าประชากรของนกทะเลขาเขียวลายจุดทั่วโลกเหลืออยู่เพียง 1,000-2,000 ตัวเท่านั้น โดยมีแหล่งทำรังวางไข่หลักอยู่รอบทะเลโอค็อตสค์ (Sea of Okhotsk) ทางทิศตะวันออกของรัสเซีย และบินอพยพลงมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงฤดูหนาว

จากการประเมินล่าสุดโดย Christoph Zöckler, David Li, Sayam U. Chowdhury, Muhammad Iqbal และ Yu Chenxing ซึ่งตีพิมพ์ใน Wader Study พบว่าประเทศไทยเป็นแหล่งพักพิงหลักของนกหายากชนิดนี้ในช่วงฤดูหนาว!

ข้อมูลที่ BCST และนักดูนกในเมืองไทยได้รวบรวมมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้สามารถประเมินได้ว่ามีนกทะเลขาเขียวลายจุดจำนวนประมาณ 334-361 ตัว หรือมากกว่า 20% ของประชากรโลก อาศัยอยู่ในเมืองไทยในช่วงฤดูหนาว โดยส่วนมากอาศัยอยู่รอบอ่าวไทยตอนใน โดยเฉพาะบริเวณปากทะเล-แหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี และปากแม่น้ำประแสร์ จ.ระยอง แต่ก็มีประชากรบางส่วนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งอันดามัน และบริเวณคลองใหญ่ จ.ตราด ด้วยเช่นกัน

ประเทศที่เป็นแหล่งพักพิงช่วงฤดูหนาวของนกทะเลขาเขียวลายจุดที่สำคัญรองลงมาจากประเทศไทยคือประเทศมาเลเซีย ซึ่งคาดว่ามีประชากรประมาณ 240 ตัวอาศัยอยู่ในช่วงฤดูหนาว ตามมาด้วยประเทศอินโดนีเซียซึ่งคาดว่ามีประชากรประมาณ 114 ตัว

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนมากซึ่งเป็นแหล่งพักพิงที่สำคัญของนกทะเลขาเขียวลายจุดในเมืองไทย ยังไม่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์แต่อย่างใด จึงยังมีความเสี่ยงในการสูญเสียแหล่งอาศัยที่สำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรในระดับโลกได้เลยทีเดียว หากต้องการสนับสนุนการอนุรักษ์นกชายเลนหายากและใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้ สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการส่งข้อมูลการพบเห็นนกทะเลขาเขียวลายจุด ไม่ว่าจากที่ไหนก็ตามเข้ามาที่กลุ่ม Thai bird report เพื่อให้สามารถเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับงานอนุรักษ์ต่อไป

 

อ้างอิงจาก Zöckler, C., D. Li, S.U. Chowdhury, M. Iqbal & C. Yu. 2018. Winter distribution, habitat and feeding behaviour of Nordmann’s Greenshank Tringa guttifer. Wader Study 125(1): 00–00.

อดีต (แสนหวาน) ของนกจาบปีกอ่อนอกเหลือง

เมื่อไม่นานมานี้ นกจาบปีกอ่อนอกเหลือง (Yellow-breasted Bunting; Emberiza aureola) เพิ่งได้รับการปรับสถานภาพด้านการอนุรักษ์ให้เป็นนกที่ใกล้สูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง (Critically Endangered) ในระดับโลก ทั้งที่จากเดิมเคยเป็นหนึ่งในนกที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

เมืองไทยเรานั้นเป็นแหล่งอาศัยในช่วงฤดูหนาวที่สำคัญที่สุดของนกชนิดนี้มาตั้งแต่อดีต โดยมีบันทึกว่านกจาบปีกอ่อนอกเหลืองเป็นนกที่มีจำนวนมาก พบได้บ่อยทั่วไปแม้แต่ในกรุงเทพมหานคร

C. J. Aagaard ได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Common Birds of Thailand ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2473 ว่านกจาบปีกอ่อนอกเหลืองเป็นนกอพยพย้ายถิ่นที่พบบ่อยในกรุงเทพฯ และพบเป็นจำนวนมาก บางครั้งพบเกาะรวมกันตามกอไผ่ และรั้วต้นไม้รอบนาข้าวนับพันตัว

อย่างไรก็ตาม ต่อมา H. Elliot McClure นักปักษีวิทยาผู้บุกเบิกการศึกษานกในเมืองไทยคนแรกๆ ได้ระบุเอาไว้ในหนังสือ Migration and Survival of the Birds of Asia ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2517 ว่าทุกๆ ปีในประเทศไทยมีนกจาบปีกอ่อนอกเหลืองถูกจับด้วยตาข่ายเป็นจำนวนมากกว่า 2,000,000 ตัว!

นกเหล่านี้ถูกจับแล้วไปไหน? โดยส่วนมากมักถูกนำไปขายเพื่อเป็นนกปล่อยตามวัดหรือศาลเจ้า รวมทั้งถูกนำไปถอนขนทอดเป็นอาหารไม่ต่างจากนกกระจาบ นกกระจอก หรือนกกระติ๊ดอื่นๆ

สาเหตุหลักที่ทำให้นกจาบปีกอ่อนอกเหลืองลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วมาจากการที่นกชนิดนี้อพยพรวมกันเป็นฝูงใหญ่ ทำให้การจับแต่ละครั้งสามารถจับนกได้ทีละนับร้อยนับพันตัว คาดว่าประชากรของนกจาบปีกอ่อนอกเหลืองจากทั่วพื้นที่ทำรังรอบขั้วโลกเหนือ บินอพยพลงมาอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 มีการจับนกจาบปีกอ่อนอกเหลืองตัวหนึ่งได้ในบริเวณภาคกลางของไทย โดยเป็นนกที่ถูกใส่ห่วงขามาจากเมือง Oulu ประเทศฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2509

แม้แต่ในปี พ.ศ.2538 นกจาบปีกอ่อนอกเหลืองก็ยังถูกระบุว่าเป็นนกที่พบเห็นได้บ่อยในแปลงนาทดลองของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โดยมักพบบินหนีขึ้นมาจากนาข้าวปะปนกับนกกระจอกชวา (Java Sparrow) และนกกระติ๊ดขี้หมู (Scaly-breasted Munia)

ปัจจุบันก็อย่างที่ทราบกันดี นกจาบปีกอ่อนสีสวยนักอพยพชนิดนี้ได้กลายเป็นนกที่พบเห็นไม่บ่อยอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะยังมีรายงานในเมืองไทยเป็นประจำทุกฤดูหนาว แต่ก็พบได้อย่างมากที่สุดเพียงหลักร้อย และเหลือเพียงไม่กี่พื้นที่เท่านั้นที่ยังคงพบได้เป็นประจำ การอนุรักษ์นกจาบปีกอ่อนอกเหลืองต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างหลายประเทศที่อยู่ในเส้นทางอพยพของนกชนิดนี้ มิเช่นนั้นอีกไม่นานเราคงไม่มีโอกาสได้เห็นนกชนิดนี้อีกต่อไป…

 

อ้างอิงข้อมูลจาก วารสารนกกางเขน ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม พ.ศ.2538

สัตว์ป่า “ไม่” น่าเลี้ยง

โดย วัทธิกร โสภณรัตน์

 

ช่วงนี้หลายคนอาจจะได้เห็นหน้าค่าตาเจ้านกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา (Barred Eagle-owl) กันบ่อยขึ้นจากกระแสดราม่าในตอนนี้ ด้วยความบ้องแบ๊วตาโต ขนดูนุ่มสลวยน่าสัมผัส ทำให้เกิดความนิยมลักลอบจับนกออกจากป่ามาเพื่อขายเป็นสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้ส่งผลให้เกิดแรงกระทบต่อระบบนิเวศอย่างเลี่ยงไม่ได้

นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรานั้นถือเป็นนักล่าบนยอดสุดของห่วงโซ่อาหารตามระบบนิเวศ (top predator) คือเป็นผู้ล่าลำดับสุดท้าย เมื่อโตเต็มวัยแทบจะไม่ถูกล่าโดยสัตว์ชนิดอื่น อาหารการกินนั้นก็มีทั้งหนู กระรอกบิน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ กิ้งก่า แมลงขนาดใหญ่ และนกหลากชนิด

พฤติกรรมการกินที่หลากหลายนี้เองที่ช่วยควบคุมประชากรสัตว์ได้หลายประเภท ส่งผลให้เกิดความสมดุลต่อระบบนิเวศโดยรวม การนำสัตว์ผู้ล่าออกจากระบบนั้นจะส่งผลให้สัตว์ในลำดับขั้นรองลงมาเกิดการขยายประชากรที่เกินขนาด ทรัพยากรพื้นฐาน เช่น พืชอาหาร และแมลงอาหารขาดแคลน ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับล่างของห่วงโซ่อาหารจะสูญพันธุ์จากการขยายตัวนี้ ผลกระทบสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนั้นคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากขาดสัตว์ที่ทำหน้าที่ควบคุมพืชพันธุ์ชนิดต่าง คือเกิดความล่มสลายของสังคมพืชนั่นเอง

เรื่องราวที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช่นิยาย Sci-Fi เกินจริงโดยไร้หลักฐาน เหตุการณ์ความล่มสลายทางระบบนิเวศนี้เรียกว่า Cascade Theory และเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอุทยานแห่งชาติ Yellow Stone ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสิ่งที่ Yellow Stone สูญเสียไปคือ หมาป่า ซึ่งส่งผลกระทบตามมามากมายถึงขั้นที่ทำให้แม่น้ำแห้งเหือด

แล้วเราจะรอให้เป็นแบบนั้นหรือ? หลายๆท่านคงมีคำตอบอยู่ในใจ แต่การกระทำผิดแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งสามารถเอาผิดผู้จับ ผู้ค้า และ ผู้เลี้ยงได้ แต่การจะทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์นั้น จำเป็นต้องพึ่งพลังความตระหนักของประชาชนที่เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของธรรมชาติ ไม่ใช่ในฐานะทรัพยากรของชาติ แต่เป็นทรัพยากรของโลก ที่จะช่วยให้โลกของเรายังคงน่าอยู่สำหรับทุกๆ ชีวิต

Queen of the Flyway

by Bird Conservation Society of Thailand

 

“On 20 June 2013, 8 Spoon-billed Sandpipers (Calidris pygmaea), one of rarest shorebirds of Asia, was ringed in the vicinity of Meinypil’gyno Village, Anadyr District, just south of the Arctic Circle in Chukotka Autonomous Area, Far East Russia. One of them got a lime green flag on the upper left leg with the numeric ‘05’ and leg band no.: MOSKVA KS18825.” said Pavel Tomkovich, Head of Ornithology Department of Zoological Museum, M.V.Lomonosov Moscow State University. He is one of the most experienced and respected scientists working on Arctic breeding birds, particularly Spoon-billed Sandpipers and other shorebirds.

‘Lime 05’ was first observed and photographed on her wintering grounds at Khok Kham, Samut Sakhon Province, Inner Gulf of Thailand on 30 November 2013 after a long distance migration covering over 7,500 km from Far East Russia. She remained there until at least 6 March 2014.

Khok Kham is located in the Inner Gulf of Thailand, it is a rural area in Samut Sakhon province, approximately 45 km from Bangkok. The area covers over 7,500 ha. Is dominated by salt pans and aquaculture ponds. It is an internationally important site for resident waterbirds and migratory shorebirds. Many species feed at the mudflats at low tide and roost in the salt pans during high tide. There are 189 resident and 84 migratory birds species, of which 12 species are listed as globally threatened such as Spoon-billed Sandpiper, Spotted Greenshank, Great Knot, Red Knot, Asian Dowitcher, Black-tailed Godwit, Bar-tailed Godwit, Eurasian Curlew and Far Eastern Curlew. It also the only place in SE Asia that Spoon-billed Sandpiper spend over-summering on 2011.

Khok Kham is also regarded as one of the Important Bird Area and Biodiversity (IBAs) by BirdLife International, an important site of the East Asian – Australasian Flyway (EAAF), to be designated as a Ramsar site for The Convention on Wetlands of International Importance. A recent project by The United Nations Development Programme (UNDP) is “Conserving Habitats for Globally Important Flora and Fauna in Production Landscapes” under The Global Environment Facility (GEF) has also selected Khok Kham as a focal area on conserving the Spoon-billed Sandpiper in Thailand.

In summer 2014, the pair of ‘Lime 05’ did not return to his nesting territory, so she had to move for about 14 kilometers to territory of a different male (it got then light green flag numeric 10). From that year till summer 2017: ‘Lime 05’ was nesting annually together with male ‘Lime 10’ in the same area.

In breeding season at Meinypil’gyno, first clutches of her eggs were always taken to incubator for head-starting programme by Russia ornithologist and an aviculturist from The Wildfowl & Wetlands Trust (WWT) from UK: hatched chicks were raised in captivity and released into wild after fledging.  In most years the pair produced a replacement clutch, which was successful not every year. Because in the wild, Spoon-billed Sandpipers produce on average approximately 0.6 fledglings per pair. With head-starting programme, over 3 fledglings per pair could be produced.

Productivity of ‘Lime 05’ during 2013 – 2017:

2013 – 2 head-started birds released with leg flagged White JA, PA

2014 – 3 head-started birds released with leg flagged White Y8, E9, J9

2015 – 4 head-started birds released with leg flagged White L7, M7, P7, U7

‘White P7’ one of her sons was first observed and photographed on wintering grounds at Pak Thale, Petchaburi, Inner Gulf of Thailand on 28 November 2015. He came to be a regular visitor and has been observed for the third season now. Pak Thale is also regarded as one of the Important Bird and Biodiversity Areas (IBAs) by BirdLife International,  and a Flyway Network site of the East Asian – Australasian Flyway (EAAF).

© Natthaphat Chotjuckdikul

2016 – 4 head-started birds released with leg flagged White 0T, 0U, 0V, 0X. The pair was also used as foster parents for a chick (Lime M3) from a foreign nest.

2017 – 4 head-started birds released with leg flagged White 2A, 2C, 2H, 2L. Two chicks from a replacement clutch were flagged: Lime P6, T6.

Thus, in total 17 offspring of the ‘Lime 05’ were raised in captivity and released in 2013 – 2017. Moreover, after breeding season she continued to take on a long distance migration from Meinypil’gyno, Russia to Khok Kham, Thailand for the fifth winter and has been seen almost at the same spot every year. Before reaching Thailand ‘Lime 05’ was observed at China in Dongtai, Rudong on 02 May 2014 and in Tiaozini, Jiangsu on 23 September 2017. If any ‘Lime 05’ offspring was observed or photographed along the flyway, please report to Bird Conservation Society of Thailand or Spoon-billed Sandpiper Task Force Facebook. It is a very important information to save this species in long term.

Bird Conservation Society of Thailand (BCST, BirdLife Partner in Thailand) has been closely monitoring Spoon-billed Sandpipers since 1995, resulting in an impressive records of 7 flagged Spoon-billed Sandpipers: Lime 05, Lime 02, White OC, White P7, White AA, White U6 and Yellow 5(x)

For saving shorebird and their habitat, BCST is working with Thai’s government agencies such as The Department of National Park, Wildlife and Plant Conservation (DNP), Department of Marine and Coastal Resources (DMCR), Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning (ONEP), international organization such as The United Nations Development Programme (UNDP), BirdLife International, The Royal Society for the Protection of Birds (RSPB), Spoon-billed Sandpiper Task Force, East Asian – Australasian Flyway Partnership  (EAAFP) and local communities in the on the assumption that appropriate tourism is a powerful incentive to conserve shorebird wintering areas.

The society also conducts midwinter Asian Waterbird Census (AWC) and Spoon-billed Sandpiper was included. The hope is that increased coverage of bird surveys, led by BCST’s field officers including Mr.Suchart Daengphayon (Mr.Tii) from Khok Kham, Samut Sakhon and Mr.Seri Manich (Mr.Dang) from Pak Thale, Petchaburi both now turned full-time shorebird conservationists, may reveal even more sighting of Spoon-billed Sandpipers in Thailand.

We must conserve and protect the Inner Gulf of Thailand as it is a key wintering site for migratory shorebird of South-East Asia and East Asian-Australasian Flyway. This can be best achieved through international supporting, corroborating and maintaining traditional low intensity usage of coastal areas such as salt farming and sustainable inshore fisheries. Future generations will certainly blame us if we do not act now to, limit increases of intensive industrial aquaculture, and conserve the wonderful wetland wilderness that lies only at our doorstep.

So far as we know, it seem like ‘Lime 05’ is a productive female and she is trying very hard to secure her species with a bit help from human. She has established a new Russia–Thailand relations as a little Russian Ambassador since 2013. If Spoon-billed Sandpiper is a flagship species for the protection of migratory shorebird and their habitat along EAAF, the ‘Lime 05’ should get respected as the “Queen of the Flyway”.

10 เรื่องที่คุณไม่รู้ของนกเค้า

เรื่อง : อุเทน ภุมรินทร์ ภาพ : กุลพัฒน์ ศรลัมภ์ และ Owl Brand Discovery Kits

 

รู้จัก “นกเค้า” กันไหมเอ่ย? แก๊งนกฮูก นกแสกตาโต หน้าบานๆ เหมือนจาน True TV นั่นล่ะ มาทำความรู้จักนกกลุ่มนี้ให้มากขึ้น พร้อมกับเค้าได้เลยนะ ตัวเอง

1. ไม่ได้หากินตอนกลางคืนทุกชนิด (Not all owl species are nocturnal) นกเค้าเกือบทุกชนิดที่พบในประเทศไทยหากินตอนกลางคืน มีเพียงบางชนิดที่มักหากินในช่วงกลางวัน หรือช่วงพลบค่ำและรุ่งสางด้วย เช่น นกเค้าจุด (Spotted Owlet) นกเค้าโมงหรือนกเค้าแมว (Asian Barred Owlet) และนกเค้าแคระ (Collared Owlet)

2. นกเค้าเป็นนกนักล่า (Owls are carnivorous) มันจับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร มันกินสัตว์แทบทุกกลุ่มที่จับได้ นอกจากหนูตามบ้านและท้องนาแล้ว นก กบ เขียด หรือสัตว์มีพิษอย่างงูก็ถูกมันจับกิน รวมไปถึงแมลงชนิดต่างๆ ด้วย นกเค้าบางกลุ่มล่าปลากินเป็นอาหารหลักคือ นกทึดทือ (Fish Owl)

3. บินได้สุดเงียบ (They’re Silent Killers) นกเค้าหลายชนิดมีขนปกคลุมตัวที่อ่อนนุ่มและขอบขนปีกเป็นซี่หวี ทำให้บินได้เงียบ กว่าเหยื่อจะรู้ตัวก็ตกอยู่ในกรงเล็บของมันเสียแล้ว

4. หมุนคอได้ถึง 270 องศา (Owls turn their heads up to 270 degrees) เราจึงเห็นนกเค้าหันหน้ามามองด้านหลังได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องขยับตัว (ไม่ใช่ “นกผี” แน่นอนจ้ะ)

5. ฮ. นกฮูกจึงตาโต (Eye balls) ลูกตาของนกเค้ายึดติดกับกระดูกเบ้าตา ทำให้นกกลุ่มนี้กลอกตาไป-มาไม่ได้ ถ้าต้องการเปลี่ยนทิศทางการมองเห็น นกต้องเอียงคอหรือหมุนใบหน้าเป็นวงกลมแทน ดวงตากลมโตมีเซลล์ rod ที่ไวต่อการมองเห็นในสภาพแสงน้อยหรือตอนกลางคืน ดวงตาขนาดใหญ่มีผลให้รูรับแสงมีขนาดใหญ่ไปด้วย ทำให้มันสามารถมองเห็นเหยื่อได้เป็นอย่างดี และตำแหน่งดวงตาที่อยู่ด้านหน้าเหมือนกับคนเรา ทำให้นกกลุ่มนี้ประเมินระยะทางของเหยื่อได้

6. หูทั้งสองข้างไม่เท่ากัน (Several owl genera have asymmetrical ears) นกเค้าหลายชนิดมีช่องเปิดหูอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ตรงกัน เช่น นกแสกที่ช่องเปิดหูทางด้านขวาจะอยู่สูงกว่าทางด้านซ้าย และเยื้องไปด้านหลังมากกว่า ทำให้การรับฟังเสียงของหูทั้งสองข้างเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน มันจึงแยกแยะตำแหน่งและที่มาของเสียงได้แม่นยำ

7. นกเค้าแมวมีหูเหมือนแมว จริงหรือ? (Several owls species have “ear” tufts) ที่เราเห็นนกเค้าบางชนิดมีขนยื่นยาวบนหัว มองดูคล้ายใบหูนั้น แท้จริงแล้วนกไม่มีใบหู มีเพียงช่องเปิดหูเท่านั้น ขนคล้ายหูของนกเค้าใช้แสดงอารมณ์ได้ เช่น แสดงพฤติกรรมข่มขวัญคู่แข่งที่มาบุกรุกอาณาเขต และช่วยพรางตัวโดยยืดตรงเนียนไปกับเปลือกไม้ได้ด้วย

8. มีกรงเล็บเป็นอาวุธ (Powerful talons) กรงเล็บของนกเค้าคมมาก มีสี่นิ้ว ในนกแสกด้านข้างของเล็บที่สามจะมีสันคมเหมือนสันมีด เหยื่อจึงตายคาอุ้งเล็บของนกเค้าเลยทีเดียว

9. นกเค้ากับความเชื่อเป็นของคู่กัน (Owls have long been a part of human folklore and legend) ความเชื่อของคนผูกพันกับนกเค้ามายาวนาน เช่น ในไทยเชื่อว่า บรรดานกเค้า เป็น “นกผี” เจอแล้วจะโชคร้าย หรือมีคนตาย ในขณะที่คนอินเดียขนานนามว่า นกเค้าเป็น “เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์” เช่นเดียวกับที่ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น คนที่นั่นถือว่า นกเค้า Blakiston’s Fish Owl เป็นเทพเจ้าแห่งหมู่บ้าน

10. เป็นนกเค้า อยู่ยากบอกเลย! (Threats to owls are habitat loss, pesticides, human persecution because of negative superstitions and vehicle collisions) มีหลายภัยคุกคามที่ทำให้นกเค้าลดจำนวนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งพื้นที่อาศัยลดลง การใช้สารกำจัดศัตรูพืชในการเกษตรส่งผลกระทบโดยตรงต่อพวกมัน เพราะนกเค้าเป็นนกนักล่าในอันดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ไฟฟ้าช็อตจากการเกาะกับสายไฟ ถูกรถยนต์ชนบนถนนบ้าง การจับลูกนกหรือนกตัวเต็มวัยมาขายเป็นสัตว์เลี้ยง และความเชื่อในด้านลบว่า นกเค้าเป็นสัญลักษณ์ของวิญญาณผู้วายชนม์ นำความตายมาสู่ผู้พบเห็น นกเค้าของเราเลยอยู่ยาก โดนทั้งยิงด้วยปืน ทำลายรัง ทำลายถิ่นอาศัย ฯลฯ

#นกเค้าทุกชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง การลักลอบเลี้ยงหรือมีไว้ในครอบครองมีความผิดตามกฎหมาย

 

เอกสารอ้างอิง

Ron Harlan. 2013. 10 Awesome Facts About Owls. Downloaded from http://listverse.com/2013/09/15/10-awesome-facts-about-owls/ on 01/11/2015.

Melissa Mayntz. 2015. 20 Fun Facts About Owls.Downloaded from http://birding.about.com/od/birdprofiles/a/20-Fun-Facts-About-Owls.htm on 01/11/2015.

การค้านกป่า… เมื่อธรรมชาติถูกย่ำยี (2)

โดย เพชร มโนปวิตร

การค้านกป่าในยุคโลกาภิวัฒน์  

ข้อความการโพสต์ขายนกป่าอย่างเปิดเผยในเว็บบอร์ดและเฟสบุ๊คสะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการค้านกในยุคโลกาภิวัตน์นั้นขยายตัวไปอย่างไม่หยุดหย่อนจริงๆ โดยเข้าไปแทรกตัวอยู่ในส่วนของการซื้อขายสัตว์เลี้ยงในเว็บไซต์ต่างๆ การสื่อสารและการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วกว้างไกล ได้ทำให้ตลาดการค้านกไม่ถูกจำกัดไว้เฉพาะท้องที่อีกต่อไป และหากพิจารณาถึงข้อมูลจากตลาดค้านกในปัจจุบันจะเห็นว่ามีการส่งออก นำเข้านกจากต่างประเทศจำนวนมาก จนมีคำกล่าวว่า ความหลากหลายของนกในตลาดอย่างจตุจักรนั้นสูงกว่าป่าธรรมชาติหลายแห่ง 

 

คริส เชฟเฟิร์ด เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำ TRAFFIC องค์กรเอกชนนานาชาติซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าทั่วโลก เล่าให้ผมฟังว่า เขาหัดจำแนกชนิดนกจากแอฟริกาและอเมริกาใต้จนเชี่ยวชาญจากการสำรวจตลาดค้านกที่อินโดนีเซีย ตลาดที่คริสพูดถึงคือตลาด Medan ตลาดค้าสัตว์ป่าขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของสุมาตรา ซึ่งเขาได้บันทึกว่ามีนกป่าหมุนเวียนค้าขายสูงถึง 300 ชนิดใน 54 วงศ์จากทั่วทุกมุมโลก ชนิดที่หายากและราคาสูงบางชนิด เช่นนก Palm Cockatoo ของออสเตรเลียหรือนก King Bird-of-paradise จากปาปัวนิวกินีมีวางขายเป็นประจำที่นี่ พ่อค้าที่ขายนกเหล่านี้บอกว่า แหล่งรับซื้อนกป่าขนาดใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงจาการ์ตา และมักส่งต่อนกบางชนิดไปยังกรุงเทพฯ เสมอๆ

 

ในการสำรวจนกในตลาดจตุจักรเมื่อปีพ.ศ. 2544 ของสมาคมอนุรักษ์นกฯ พบว่า นกจากต่างประเทศที่พบส่วนใหญ่อยู่ในวงศ์นกแก้ว (Psittacidae) โดยพบทั้งสิ้น 73 ชนิดคิดเป็นร้อยละ 63.9 ของนกทั้งหมดที่บันทึกได้ (14,708 ตัว – วัน) โดยส่วนใหญ่เป็นนก Lovebird Agapornis spp. (5,700 ตัว – วัน ) นกหงษ์หยก (4,472 ตัว – วัน ) นก Sulphur-crested Cockatoo (897 ตัว – วัน ) นก Eclectus Parrot (464 ตัว – วัน ) และนก Cockatiel (446 ตัว – วัน ) นกแก้วทั้งหมดนี้เป็นสัตว์ในบัญชีท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) ทั้งในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) หรือบัญชีหมายเลข 2 (Appendix II) ซึ่งไม่อนุญาตให้ทำการค้าข้ามพรมแดนระหว่างประเทศโดยไม่มีเอกสารกำกับ

 

นอกจากนกหงษ์หยกและ cockatiel ที่มีการเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายแล้ว นกในอันดับนกแก้วส่วนหนึ่งเป็นนกที่เพาะพันธุ์ขึ้นมา โดยสังเกตได้จากการที่พบลูกนก Aratinga spp. Eclectus และนกแก้วอื่นๆ อย่างไรก็ตาม คริสให้ข้อมูลว่า ผู้ค้านกในอินโดนีเซียยังคงส่งออกนกแก้ว Eclectus รวมทั้งนกแก้วชนิดอื่นๆ มายังกรุงเทพฯ อยู่เสมอ จึงเป็นไปได้ว่านกส่วนใหญ่ที่พบนี้ถูกนำเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย นักเลี้ยงนกคนหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้ข้อมูลว่ามีการเพาะพันธุ์ Salmon-crested Cockatoos Cocatua moluccensis และนกชนิดอื่นๆ ในกรงกันอย่างกว้างขวาง โดยมีฟาร์มจำนวนหนึ่งเพาะพันธุ์นกชนิดนี้ รวมทั้งนกต่างประเทศอื่นๆ แม้จะไม่มีข้อมูลมากพอว่า จำนวนนกจากฟาร์มเหล่านี้จัดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ในการค้านกทั้งหมด

 

นอกเหนือจากวงศ์นกแก้ว นกที่เหลือส่วนใหญ่มาจากอินโดนีเซียหรือละตินอเมริกา และจำนวนหนึ่งมาจากประเทศจีน ตัวอย่างคือ Collared Finchbill Spizixos semitorques , Grey-sided Laughingthrush Garrulax caerulatus , Red-winged Laughingthrush Garrulax formosus , Omei Shan Liocichla Liocichla omeiensis , Pekin Robin Leiothrix lutea , White-collared Yuhina Yuhina diademata และ Bearded Parrotbill Panurus biarmicus จะเห็นว่า นกจากประเทศจีนซึ่งเป็นที่นิยมของนักเลี้ยงนกมีหลากหลายชนิดมากจนคาดเดาได้ยากว่า จะมีนกชนิดไหนอีกบ้างที่อาจมาปรากฏตัวที่ตลาดจตุจักร  นกจำนวนมากที่ส่งมาจากประเทศจีนมีการบาดเจ็บและตายระหว่างการขนส่งสูงและน่าจะส่งผลกระทบต่อประชากรนกในธรรมชาติอย่างรุนแรง นอกจากนั้น นกเหล่านี้บางชนิดก็อยู่ในรายชื่อของ IUCN เช่น Omei Shan Liocichla ซึ่งองค์กรอนุรักษ์นกนานาชาติ (BirdLife Intenational) จัดให้เป็นนกที่มีแนวโน้มจะสูญพันธุ์ (vulnerable) เนื่องจากมีขอบเขตการกระจายพันธุ์จำกัดมาก นกชนิดนี้ถูกลักลอบส่งออกจากประเทศจีน เนื่องจากเป็นนกที่มีสถานภาพการคุ้มครองตามกฎหมายเต็มที่ รวมทั้งอยู่ในบัญชีหมายเลข 2 (Appendix II) ของอนุสัญญา CITES ด้วย

 

ผู้ค้ารายหนึ่งยืนยันว่า นกทั้งหมดที่ตนขายนำเข้ามาโดยมีเอกสารประกอบถูกต้อง อีกรายให้ข้อมูลว่า ในความเป็นจริงเนื่องจากการขออนุญาตตามขั้นตอนเพื่อให้ได้เอกสารประกอบจากหน่วยงาน ที่รับผิดชอบดำเนินพิธีการของ CITES ( กรมอุทยานแห่งชาติฯ ) เต็มไปด้วยความยุ่งยาก จึงแทบไม่เคยมีนกตัวใดที่นำเข้ามาโดยมีเอกสารประกอบถูกต้องเลย นกทั้งหมดถูกลักลอบนำเข้า และหลังจากเข้ามาในประเทศไทยแล้วก็จะไม่มีการควบคุมใดๆ ภายใต้อนุสัญญา CITES อีกเนื่องจากระเบียบที่กำหนดไว้เป็นการควบคุมเฉพาะการขนส่งข้ามพรมแดนเท่านั้น หลักฐานยืนยันการลักลอบนำเข้านั้น เห็นได้ชัดเจนเมื่อพิจารณาถึงนก White Cockatoo Cacatua alba 66 ตัว – วัน ที่บันทึกได้แม้นกชนิดนี้จะเป็นนกในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียไม่อนุญาตให้มีการส่งออกใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งนก Salmon-crested Cockatoo Cacatua mouluccensisi (50 ตัว – วัน ) ซึ่งเป็นนกในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) ของอนุสัญญา CITES

 

คำถามสำคัญอีกประการในการสำรวจตลาดค้านกก็คือ นกเหล่านี้มีแหล่งที่มาจากไหน การสำรวจโดยการสัมภาษณ์ของสมาคมอนุรักษ์นกฯ เปิดเผยว่า นกที่พบได้ในประเทศไทยส่วนหนึ่งที่มีการซื้อขายถูกนำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นไปได้ว่า นกที่มีสีสันสวยงามซึ่งเป็นนกในป่าระดับสูง (montane bird) ส่วนใหญ่จะมาจากจีนด้วย ได้แก่ นกกะรองทองแก้มขาว และนกศิวะปีกสีฟ้า รวมทั้งนกในวงศ์นกจาบปีกอ่อน เช่น นกกระติ๊ดใหญ่ Mycerobas spp. อย่างไรก็ตามโดยรวมเชื่อว่า นกส่วนใหญ่เป็นนกที่จับมาจากป่าภายในประเทศ ผู้ขายเองก็ให้ข้อมูลว่า นกที่ขายมีที่มากระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นนกจากป่าเขาใหญ่  ป่าตะวันตกแถบกาญจนบุรี และแก่งกระจาน เนื่องจากป่าเหล่านี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ

 

มีการให้ข้อมูลว่า บางครั้งผู้ค้าจากตลาดจตุจักรและตลาดนัดซันเดย์จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อซื้อนกจากคนจับนกถึงหมู่บ้าน แต่ในบางกรณีจะมีพ่อค้าคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ค้าให้ข้อมูลว่า ผู้ซื้อจำนวนมากที่ซื้อนกจากตลาดซันเดย์เป็นลูกค้าใหม่ ส่วนผู้ซื้อที่ชำนาญแล้วจะติดต่อผู้ขายโดยตรงถึงบ้าน ซึ่งโดยมากจะมีนกที่ราคาสูงกว่าหรือเป็นที่เก็บนกที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้น นกหายากหลายต่อหลายชนิดจึงค้าขายโดยการขายตรง และไม่ต้องมาเสี่ยงวางขายในตลาดเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางสำคัญอีกแห่งในการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

 

อาจจะด้วยค่าตอบแทนอันคุ้มค่าที่เป็นแรงจูงใจให้กับพ่อค้าและคนดักนก หรืออาจจะเป็นค่านิยมโบราณและความไม่รู้ของผู้ซื้อ แต่ด้วยอุปสงค์อุปทานที่สอดประสานกันอย่างลงตัวโดยอาศัยช่องว่างช่องโหว่ทางกฎหมาย ตลาดค้านกจึงดำรงอยู่กลายเป็นเศรษฐศาสตร์สีดำที่จองจำชีวิตอิสระในธรรมชาติ ชีวิตแล้ว ชีวิตเล่า

 

 

ช่วยกันหยุดวงจรอุบาทว์

การอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย การหยุดยั้งขบวนการค้านกป่าผิดกฎหมายก็เช่นเดียวกัน ลำพังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ย่อมไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ทั้งหมด องค์กรอนุรักษ์ ภาครัฐและภาคประชาชนต้องร่วมมือกันและพัฒนาให้งานปราบปรามและการดูแลสอดส่องมีความเข้มแข็งและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกแก่สาธารณะให้มีค่านิยมที่ถูกต้องในการชื่นชมธรรมชาติ

 

สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยได้จัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางในการจัดการกับปัญหาการค้านกป่าไว้ ดังนี้

 

การให้การศึกษาและสร้างจิตสำนึก

  1. ควรมีการรณรงค์สร้างจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายไปที่ผู้ซื้อและผู้เลี้ยงสัตว์ป่า ข้าราชการ (โดยเฉพาะในระดับจังหวัดและอำเภอ) กลุ่มเยาวชน กลุ่มนักเรียน ฯลฯ โดยควรดำเนินการที่ตลาดนัดจตุจักรภายใต้ความร่วมมือของกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่คุ้มครองสัตว์ป่า และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ
  2. ควรติดต่อบริษัทเอกชนหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าร้านค้าในจตุจักรพลาซ่าและ ตลาดซันเดย์และขอความร่วมมือเพื่อปราบปรามการค้าในตลาดทั้งสองโดยร่วมกันพิจารณามาตรการที่เหมาะสมต่อไป
  3. ควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องผ่านสื่อมวลชนเพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายสัตว์ป่า และบทบาทของการลักลอบซื้อขายสัตว์ป่าที่คุกคามความอยู่รอดของประชากรสัตว์ป่าในธรรมชาติ
  4. นักดูนกและคนที่มีความรู้เกี่ยวกับการจำแนกชนิด ควรช่วยกันสอดส่องและรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อพบเห็นการลับลอบจับนก ขายนกและสัตว์ป่าอื่นๆ
  5. เจ้าหน้าที่หน่วยงานคุ้มครองสัตว์ป่า และองค์กรเอกชนควรสร้างความเข้าใจกับผู้ค้านกที่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเชื่อมโยงไปถึงการให้ประกาศนียบัตรแก่ร้านค้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายและเป็นผู้ค้านกจากการเพาะพันธุ์อย่างถูกต้องเพื่อนำไปแสดงในร้าน
  6. ภายในตลาดนัดจตุจักรซึ่งดำเนินการโดยกรุงเทพมหานคร ควรบังคับให้ร้านค้าสัตว์เลี้ยงทุกชนิดปิดโปสเตอร์แสดงบทลงโทษการซื้อสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยร้านค้าที่ไม่ปฏิบัติตามให้มีการลงโทษด้วยการไม่ต่อสัญญาเมื่อครบกำหนดอายุ
  7. ควรมีการรณรงค์ให้การศึกษาในโรงเรียนทั่วประเทศเพื่อลดการเลี้ยงนกในกรง และส่งเสริมให้เยาวชนรู้จักการชื่มชนธรรมชาติในทางที่ถูกเช่น การดูนก การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ การจัดสวนให้เหมาะแก่การอยู่อาศัยของนก เป็นต้น

 

การบังคับใช้กฎหมาย  

  1. เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ควรมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายสัตว์ป่าและการจำแนกชนิดนกให้ดีขึ้น ควรจัดให้มีการอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะการจำแนกชนิดนก รวมทั้งสัตว์ป่าอื่นๆ  ควรมีการผลิตคู่มือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมภาพประกอบเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ควรมีการสร้างจิตสำนึกในหน่วยงานที่รับผิดชอบให้มากขึ้น หากเจ้าหน้าที่มีจิตสำนึกและมีการประสานงานที่ดีจะสามารถมีบทบาทมากขึ้นทั้งในการปราบปรามโดยตรง หรือในการระบุตัวผู้ค้าหรือผู้จัดหารายใหญ่ในเขตต่างๆ เพื่อให้ฝ่ายที่รับผิดชอบในคุ้มครองสัตว์ป่าทำการปราบปรามได้ถึงต้นตอ
  3. จำเป็นต้องมีการประสานงานระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่ด้านปราบปรามของ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยศุลกากร เพื่อให้การปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าข้ามพรมแดนมีประสิทธิภาพ
  4. เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย ตลอดจนผู้พิพากษา ฯลฯ ควรได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้มากขึ้น เพื่อรับประกันว่า เจ้าหน้าที่รัฐตระหนักถึงปัจจัยคุกคามจากการลักลอบค้าสัตว์ป่า และให้แน่ใจว่า มีการใช้บทลงโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้บ่อยครั้งที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อต่อต้านการค้าประเภทนี้

 

การศึกษาวิจัยเพิ่มเติม   

  1. ควรทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างประชากรนกในธรรมชาติกับตลาดค้านกป่าและแหล่งที่มาของสัตว์ป่า
  2. ควรทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่องทางที่มาของนกจากต่างประเทศที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาด
  3. ควรมีการติดตามตรวจสอบฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งสวนสัตว์ทั้งของรัฐและเอกชนเพื่อศึกษารูปแบบการได้มาและเพาะพันธุ์สัตว์ป่าทั้งใน ประเทศและจากต่างประเทศ รวมทั้งสัดส่วนของสัตว์ที่ฟาร์มเหล่านี้เพาะพันธุ์ขึ้นในการค้าสัตว์ป่าภายในประเทศไทย
  4. จำเป็นต้องมีการติดตามตรวจสอบตลาดซื้อขายสัตว์ป่าทั่วกรุงเทพฯ เป็นประจำ ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนสัตว์ป่าจากต่างประเทศที่มีการซื้อขาย โดยตรวจสอบจำนวนใบอนุญาตนำเข้าและส่งออกสัตว์ป่าภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) ควบคู่ไปด้ว

แม้ความพยายามขององค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติร่วมกับรัฐบาลที่ผ่านมาจะยังไม่สามารถปิดฉากขบวนการค้านกและสัตว์ป่าผิดกฎหมายลงได้  แต่ก็นับได้ว่ามีความคิดริเริ่มในการทำงานแก้ปัญหาดังกล่าวขึ้นมากมาย ความพยายามในการปรับปรุงตัวบทกฎหมายให้มีความเข้มงวด การพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย พร้อมไปกับการให้การศึกษาที่ถูกต้องแก่สาธารณะ เป็นกรอบงานหลักที่ทุกฝ่ายต้องเร่งพัฒนาแข่งกับเวลาเพื่อต่อสู้ขบวนการลักลอบค้านกและสัตว์ป่าเหล่านี้

 

ความพยายามทั้งหลายทั้งหมดคงไม่สามารถบรรลุผลได้ด้วยการทำงานของภาครัฐแต่เพียงลำพัง หรือโดยองค์กรเอกชนเพียงองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หากจำต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมืออย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้เป็นกระบวนการตรวจสอบที่มีความเข้มแข็งและยั่งยืน

 

………………………………………………..

 

ทุกวันนี้การลักลอบค้านกป่านับเป็นปัญหาด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญที่สุดปัญหาหนึ่ง เป็นขบวนการที่เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลและผลประโยชน์ เป็นขบวนการทำลายธรรมชาติที่กำลังรอให้มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและช่วยกันปิดฉากการทารุณสัตว์ป่าเหล่านี้ลงอย่างถาวร

 

ขอขอบคุณ

คุณกฤษณา แก้วปลั่ง และคุณ Philip D. Round

สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย

นิตยสาร สารคดี

สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทย

มูลนิธิฟรีแลนด์

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช

IUCN

 

เอกสารอ้างอิง 

ข่าวสด. 2546. แฉรูปตลาดซันเดย์ค้านกหายาก. หน้า 16. หนังสือพิมพ์ข่าวสด 24 กันยายน 2546.

เพชร มโนปวิตร. 2546. นรกของแต้วแล้วยักษ์ และการค้าสัตว์ป่ากลางกรุง. นิตยสาร Advance Thailand Geographic. พฤศจิกายน 2546.

เพชร มโนปวิตร. 2546. การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย สงครามไม่รู้จบ. นิตยสารสารคดี.  ฉบับที่ 236. ตุลาคม 2546.

สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย.  2546.  รายงานการสำรวจการค้านกป่าและสัตว์ป่าในตลาดนัดกรุงเทพมหานคร.  สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ 38 น.

สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า.  2548. คู่มือจำแนกสัตว์ป่า เพื่องานป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่า.  สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า. กรุงเทพฯ. 352 น.

อวยพร แต้ชูตระกูล.  2547.  ฉากสุดท้ายของสัตว์ป่า.  นิตยสารโลกสีเขียว. ปีที่ 12 ฉบับที่ 6 มกราคม – กุมภาพันธ์ 2547.

Bennett, E.L. and J. G. Robinson. 2001.  Hunting of Wildlife in Tropical Forests: Implication for Biodiversity and Forest Peoples. The World Bank Environment Department. Washington D.C.

Bennett, E.L. and Madhu Rao. 2002. Hunting and wildlife trade in tropical and subtropical Asia : identifying gaps and developing strategies. Paper of meeting held in Khao Yai National Park , April 2002. Wildlife Conservation Society , New York.

BirdLife International. 2001. Threatened birds of Asia : The BirdLife International Red Data Book. BirdLife International, Cambridge , U.K.

Lekagul, Boonsong and P.D. Round. 1991. A Guide to the Birds of Thailand . Saha Karn Bhaet, Bangkok.

McClure, H.E. and Sombob Chaiyaphun. 1971. The sale of birds at the Bangkok “Sunday Market”, Thailand. Nat. Hist. Bull. Siam Soc. 24:41-78.

Menon, V. and A. Kumar. 1999.  Wildlife Crime: An Enforcement Guide. Wildlife Protection Society of India.  Second Edition. New Delhi, India. 109 p.

Pearl, M.C. 2004. Wildlife Trade: Threat to Global Health. EcoHealth 1: 111-112.

Round, P.D. 1990. The Bangkok Bird Club Survey of the Bangkok Weekend Market. Nat. Hist. Bull. Siam Soc. 38:1-43.

Shepherd, C. R., Jeet Sukumara, Serge A. Wich. 2004.  Open Season: An analysis of the pet trade in Medan, Sumatra 1997-2001.

การค้านกป่า… เมื่อธรรมชาติถูกย่ำยี (1)

โดย เพชร มโนปวิตร

เช้าวันหนึ่งต้นเดือนพฤศจิกายน ภาพซากนกเงือกหัวแรด 3 หัวถูกเผยแพร่กันเต็มหน้าฟีดของเพื่อนๆ ในแวดวงอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยภาพดังกล่าวถูกโพสต์โดยคนที่ใช้ชื่อว่า “อยากเลี้ยงอะไร ผมหาให้ดีไหม” ลงใน “กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์แปลก Legal Exotic Pets Keeper”  ประกาศขายหัวนกเงือกหัวแรด หัวละ 2,900 บาท ระบุด้วยว่า ถ้าเหมา 3 หัว 6,900 บาท พร้อมระบุเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออย่างชัดเจน  0627012708

 

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ผมจำได้ว่าได้รับข้อความฟอร์เวิร์ดอีเมลจากผู้จัดการสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยในเวลานั้น ระบุถึงการประกาศขายลูกนกเงือกหัวแรดอย่างเปิดเผยในเว็บไซต์ขายของมีชื่ออย่าง pantipmarket

http://www.pantipmarket.com/view.php?id=P4973615P4973615 หัวแรด นกเงือกหัวแรด หายากมากๆ เลี้ยงตั้งแต่ลูกป้อน อายุ 2 ปี เชื่องสุดๆ ราคา: 12000 บาท สนใจติดต่อคุณ: สุรเชษฐ์ ธิติมุทา IP 58.8.115.78 ได้ที่ โทร/e-mail: 09-85053xx  /adisex20xx@yahoo.com (ต้นไม้ / สัตว์เลี้ยง,นก,นก) [ 2 พ.ย. 2549.23:51:33 ]

 

ทั้งหมดคือข้อความประกาศขายนกเงือกหัวแรด นกเงือกหายากที่สุดชนิดหนึ่งของบ้านเราอย่างเปิดเผยทั้งเแบบเป็นและตาย นกเงือกหัวแรดเป็นนกขนาดใหญ่มีโหนกสีส้มแดงขนาดใหญ่งอนขึ้นคล้ายนอแรด เป็นนกเงือกที่อาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบทางตอนใต้สุดของประเทศเช่นบริเวณอุทยานแห่งชาติทะเลบัน อุทยานแห่งชาติบูโด สุไหงปาดี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา แน่นอนว่านกเงือกหัวแรดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดค้าหรือครอบครอง

 

เราสามารถพบการประกาศขายนกและสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ อย่างเปิดเผยขึ้นทุกทีในโลกออนไลน์ จากข้อความบนเว็บบอร์ด ตอนนี้ก็ลามมาสู่เฟสบุ๊ค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก บางตัวอย่างที่พบเห็นได้

 

– กระรองทองแก้มขาว มี 2 ตัว ขายตัวละ 2,000 เป็นนกหายาก ร้องเสียงเพราะมากๆ มาก่อนได้ก่อน ติดต่อสุรเชษฐ์

– กางเขนดงใต้ 2,000 นกแก้วหกใหญ่ 1คู่ 2,500 นกเขาลายเล็ก 7000 ติดต่อยอดชาย

– นกขุนแผน เข้าคู่แล้ว 3 คู่ นกอยู่จันทบุรี สำหรับคนจันทบุรีหรือใกล้เคียง เชื่อง เลี้ยงคู่ละกรง คู่ละ 1,500 บาท ติดต่อเหลืองจันทร์

 

ทุกข้อความต่างบรรยายสรรพคุณสินค้าอย่างน่าดึงดูด พร้อมกับราคาและรายละเอียดสำหรับการติดต่ออย่างครบถ้วน ทั้งเบอร์โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือ อีเมล จนน่าสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายมัวไปทำอะไรอยู่

 

มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงนกแต้วแล้วยักษ์ตัวเมียที่ถูกนำมาวางขายอย่างโจ๋งครึ่มกลางตลาดนัดซันเดย์ สวนจตุจักร เมื่อสิบสองปีที่แล้วซึ่งคนขายไม่ได้ปิดบังหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด  น่ารักนะจ๊ะ หายากมากเลยนะตัวนี้ เพิ่งได้มาจากยะลา สองพันเก้าเองเอามั๊ย แม่ค้าเอ่ยปากเชิญชวนผม มันเป็นฝันร้ายกลางวันแสกๆ ของวงการอนุรักษ์สัตว์ป่าเพราะนกชนิดดังกล่าวเป็นนกป่าประจำที่ราบต่ำที่หายากที่สุดชนิดหนึ่ง แน่นอนที่สุดว่านกแต้วแล้วตัวนั้น และนกอื่นๆ อีกมากมายถูกจับมาจากป่า

 

แม้ในปัจจุบันนกบางชนิดในประเทศไทยจะได้รับการยกเว้นให้มีการเพาะเลี้ยงได้ แต่การค้านกป่าส่วนใหญ่ยังคงเป็นกิจกรรมผิดกฎหมายที่คุกคามความอยู่รอดของนกในธรรมชาติ เพราะตามประกาศกฎกระทรวงปี พ.ศ. 2546 ที่กำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ มีนกจำนวน 42 ชนิดเท่านั้น จากนก 952 ชนิด ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้รับการยกเว้นให้มีการเพาะพันธุ์ได้ และทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีการขออนุญาตอย่างถูกต้องจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

การอนุญาตให้มีการเพาะเลี้ยงนกบางส่วนแม้จะเป็นความพยายามในการแก้ปัญหาการเลี้ยงสัตว์ป่าที่เรื้อรังตามสภาพความเป็นจริง แต่ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้มีการลักลอบนำนกหายากจากป่าเข้ามาขายปะปนด้วยเสมอ หรือมีการนำนกที่จับมาจากธรรมชาติมาขายแทนเพราะต้นทุนถูกกว่าการเพาะเลี้ยง

 

ทุกวันนี้ขบวนการลักลอบค้านกป่านับเป็นปัญหาด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สำคัญที่สุดปัญหาหนึ่ง เป็นขบวนการที่เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลและผลประโยชน์ เป็นขบวนการทำลายธรรมชาติที่ยังรอให้มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

 

 

แกะรอยพรานดักนก  

 

 คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้นตอของปัญหาการค้านกป่าแท้จริงแล้วคือความต้องการและค่านิยมในการเลี้ยงนก จะกล่าวว่าเป็นวัฒนธรรมโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยมนุษย์เพิ่งเริ่มจะหัดเดินสองขา หลังตั้งตรงก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะในสมัยโน้นมนุษย์อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและคุ้นชินกับการพึ่งพาอาศัยใช้ประโยชน์จากป่าเป็นหลัก สัตว์ชนิดไหนใช้การได้ดี มีลักษณะสวยงามก็ถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง ครั้นมนุษย์เริ่มต้นอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งชุมชนเมืองจึงเกิดขึ้น และเกิดความต้องการที่จะมีส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่ใกล้ๆ  สมัยก่อนไม่มีสัตว์เลี้ยงอย่างเช่นทุกวันนี้ การจับสัตว์จากธรรมชาติมาเป็นสัตว์เลี้ยงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และกลายเป็นค่านิยมฝังลึกสืบทอดกันมา

 

แปลกแต่จริงที่มนุษย์มีการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีขึ้นมากมาย แต่ค่านิยมบางอย่างก็ยังดำรงอยู่มาจนปัจจุบัน แม้เราจะรู้แล้วว่า ทุกวันนี้ธรรมชาติหาได้สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ผืนป่ากว้างใหญ่ถูกบุกรุกทำลายเหลือเพียงหย่อมเล็กหย่อมน้อย สัตว์ป่าที่เคยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ก็ร่อยหรอและทยอยสูญพันธุ์กันไปทีละชนิดๆ รู้ทั้งรู้ว่ามนุษย์เป็นสาเหตุ เป็นตัวการของความเสื่อมโทรมลงของธรรมชาติและสัตว์ป่า แต่มนุษย์กลุ่มหนึ่งก็ยังคงหากินและกอบโกยผลประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไม่ทุกข์ร้อน

 

เมื่อค่านิยมในการครอบครองสัตว์ป่าเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงยังคงอยู่ ตลาดค้าขายสินค้าดังกล่าวย่อมไม่หายไปไหน “สัตว์เลี้ยง” ในความหมายนี้จึงหมายถึง “สัตว์ป่า” ทั้งที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงและได้มาจากการจับในธรรมชาติ นกป่าที่ร้องเพลงได้เพราะ (Songbird) เป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมเช่นนกกระราง นกปรอด นกกางเขนดง ส่วนนกที่มีสีสันสดใสมีลักษณะสวยงามเหมาะสำหรับการตกแต่ง (Ornamental Cage bird) ก็เป็นอีกกลุ่มที่ไม่น้อยหน้า เช่น นกขุนแผน นกโพระดก ในขณะเดียวกันนกหายากดูสูงค่า (Novelty pet) ราคาแพงก็เป็นที่ต้องการของผู้สะสม เพื่อเป็นการแสดงฐานะทางสังคม ยิ่งหายากและห้ามซื้อห้ามขายก็ยิ่งทำให้นกชนิดนั้นราคาแพงเป็นที่ต้องการมากขึ้นไปอีก แถบบ้านเราคงเป็นพวกนกเงือก หรือนกที่นานๆ จะมีการจับได้สักครั้งอย่างเช่น นกแต้วแล้ว เหยี่ยว  ในระดับโลกแม้แต่นกที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติเช่นนกแก้ว Spix’s Macaw ในอเมซอน ซึ่งเหลือประชากรในที่เพาะเลี้ยงไม่กี่สิบตัว ก็มีการลักลอบนำมาขายกันในตลาดมืดด้วยราคาสูงลิบลิ่ว

 

การจับนกเพื่อการค้ามีเทคนิคหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีการที่ไม่เฉพาะเจาะจงกับนกชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะจับนกชนิดอะไรได้ก็มักจะมีพ่อค้าคนกลางรับซื้อเสมอ และสิ่งที่พรานดักนกเรียนรู้ก็คือ ยิ่งหายาก หรือมีลักษณะแปลกๆ เท่าไหร่ก็ยิ่งขายได้ราคาดี คนรับซื้อก็ดีใจเพราะสามารถสร้างแบรนด์ให้กับตัวเองได้ว่ามีของหายากมาจำหน่าย การดักนกและจับสัตว์ส่วนใหญ่จึงยึดหลัก อะไรก็ได้ ถ้าได้ตัวหายากก็ถือว่าวันนั้นโชคดีไป

 

เทคนิคหลักๆ สามประการในการจับเป็นนกเพื่อนำมาขายคือการใช้ตาข่าย (Net) กาวดัก (Lime) และแร้วดักขา (leg-snare) นอกจากนี้วิธีดั้งเดิมอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้ก็คือการขโมยลูกนกจากรังโดยเฉพาะ นกแก้ว นกเงือก นกขุนทอง เหยี่ยว นกอินทรี และนกฮูก พรานดักนกมักรู้ตำแหน่งประจำของรังนก และเข้าไปขโมยเก็บลูกนกเป็นประจำทุกปี  มีรายงานว่าเหยี่ยวขาวถูกจับจากรังตั้งแต่ยังเป็นลูกนก และพบว่ารังของนกแขกเต้าบนต้นไม้สูงในกลุ่มตะแบก ( Lagerstroemia sp. ) บริเวณถนนด้านทิศเหนือก่อนถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ล้วนพบว่ามีทอยไม้ซึ่งชาวบ้านตอกเป็นบันไดไต่ขึ้นไปยังรังเพื่อเก็บลูกนก นอกจากนี้มีรายงานว่าบางครั้งคนจับนกมีการใช้ไม้ชุบกาวดักยื่นลงไปในโพรงให้ลูกนกติดแล้วจึงดึงเอาตัวลูกนกขึ้นมา

 

การใช้ตาข่าย: พรานดักนกมักขึงตาข่ายดักในจุดสำคัญๆ เช่นต้นไทรที่กำลังมีผลสุกหรือแหล่งน้ำเพื่อจับนกในขณะบิน ส่วนนกที่หากินตามพื้นดินหรือผิวน้ำเช่น นกเป็ดน้ำ นกอัญชัน ตาข่ายมักจะถูกขึงไว้ในพงหญ้าหรือกอกก หลังจากนั้นก็ให้คนไล่ให้นกตกใจและบินเข้าไปติดในตาข่าย ตัวอย่างนกที่ดักได้ด้วยวิธีนี้ ได้แก่ เป็ดแดง นกกะรางหัวหงอก นกขุนทอง นกกระติ๊ด นกกระจอกชวา นกชายเลน ตาข่ายดักนกสามารถพบเห็นได้ง่ายตามที่โล่งรอบกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ในที่ราบภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นตาข่ายสำหรับดักนกเขาใหญ่หรือนกเขาหลวง Spotted Dove มีการใช้ตาข่ายดักนกกระติ๊ดแดง Red Avadavat ที่มีนบุรีและลาดกระบัง ชานเมืองทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ

 

การใช้กาวดัก: เทคนิคที่นิยมใช้คือการใช้นกต่อ อาจจะผูกไว้กับต้นไม้หรือใส่กรงไว้ หลังจากนั้นก็ทากาวดักนกให้ทั่วกิ่งก้านสาขา รวมไปถึงบนพื้นบริเวณนั้น เมื่อนกต่อเริ่มส่งเสียงร้อง นกอื่นๆที่อยู่ในบริเวณจะเข้ามาดู ซึ่งอาจต้องการขับไล่ให้ไปจากอาณาเขต หรืออาจเข้ามาดูว่ามีแหล่งอาหารที่น่าสนใจหรือไม่ อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้กาวดักทาให้ทั่วไม้แล้วนำไปติดตั้งไว้ในบริเวณที่นกใช้ประโยชน์เช่น ใกล้แหล่งน้ำ บนต้นไทรที่กำลังมีลูก นกที่เข้ามาติดกาวจะถูกคนดักแกะให้หลุดออก ซึ่งบางครั้งขั้นตอนนี้อาจทำให้นกบาดเจ็บได้ นกที่ถูกจับด้วยวิธีนี้บ่อยๆ ได้แก่ นกกางเขนดง นกกางเขนบ้าน นกเดินดงหัวสีส้ม นกขมิ้นท้ายทอยดำ นกโพระดก

 

การใช้แร้วดักขา: แร้วแบบนี้ทำด้วยลวดเส้นเล็กๆ ดักไว้ตามทางเดินสัตว์ในป่าซึ่งนกหากินบนพื้นขนาดใหญ่มักจะใช้ พรานจะติดตั้งแร้วในระดับที่จับขาได้พอดีโดยไม่ทำอันตรายนกถึงชีวิต แร้วประเภทนี้อาจใช้ดักในรังเหยี่ยวหรือนกอินทรีเพื่อจับนกตัวเต็มวัยด้วย ตัวอย่างนกที่จับได้ด้วยวิธีนี้ได้แก่ นกกระทาดง ไก่ฟ้า นกหว้า และเหยี่ยวต่างสี

 

แต่ไม่ว่าจะจับด้วยวิธีใดก็ตามต้องไม่ลืมว่า นกที่ถูกจับมาจากธรรมชาติส่วนใหญ่มีอัตราการตายสูงมาก ทั้งจากภาวะความเครียด การบาดเจ็บระหว่างการขนส่ง สภาพแวดล้อมที่ผิดธรรมชาติ และนกจำนวนมากยังถูกลักลอบจับในขณะที่ยังเป็นลูกนกซึ่งทำให้โอกาสรอดยิ่งน้อยลงไปอีก นกที่รอดชีวิตมาอยู่ในกรงวางขายอยู่ในตลาดเป็นตัวแทนของนกนับสิบนับร้อยชีวิตที่ตายระหว่างทาง

 

การล่าและดักจับนกจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชากรของนกชนิดนั้นๆ ยิ่งถ้าเป็นนกหายากการสูญเสียประชากรด้วยสาเหตุดังกล่าว อาจมีผลกระทบต่อความอยู่รอดของประชากรกลุ่มนั้นๆ ได้ เช่นการลักลอบจับนกแต้วแล้วท้องดำเพื่อส่งขายในอดีต นอกจากนี้นกส่วนใหญ่ล้วนมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ การสูญเสียประชากรของนกดังกล่าวอย่างผิดธรรมชาติ ย่อมส่งผลกระทบลูกโซ่มากมาย เช่น ทำให้ป่าเสื่อมโทรมลงอันเนื่องมาจากการขาดสัตว์ที่ทำหน้าที่กระจายเมล็ดพันธุ์ ขาดสัตว์ที่ควบคุมปริมาณแมลงหรือศัตรูพืชในธรรมชาติ หรือขาดสัตว์ผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร มีงานวิจัยหลายชิ้นจากป่าเขตร้อนในอเมริกาใต้ยืนยันเกี่ยวกับผลกระทบลูกโซ่อันเนื่องมาจากสัตว์ป่าถูกล่าจนระบบนิเวศนั้นๆ ล่มสลาย

 

ผลกระทบที่ชัดเจนอีกอย่างของการดักและล่านกก็คือ ทำให้นกมีพฤติกรรมหวาดระแวงสูง ป่าที่มีการล่าและการดักนกมากๆ จึงมักจะพบและเห็นตัวนกได้ยากมาก หลายๆ ครั้งที่เราเดินในป่าเขียวครึ้มดูอุดมสมบูรณ์แต่กลับพบเพียงความเงียบสงัด นักชีววิทยาภาคสนามนิยามป่าที่ไร้ร่องรอยของสัตว์ป่าว่าเป็น “ป่าที่ว่างเปล่า” หรือ Empty Forest ซึ่งกำลังเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าอนุรักษ์หลายๆ แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมายความว่า ผืนป่ายังคงอยู่ แต่นกและสัตว์ป่าหลายชนิดตกอยู่ในภาวะวิกฤติจนไม่อาจทำหน้าที่รักษาสมดุลตามธรรมชาติได้อีกต่อไป ซึ่งในที่สุดย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความอุดมสมบูรณ์ของป่าในระยะยาว

 

ป่าใดที่ไร้เสียงร้องของนก นอกจากจะขาดเสน่ห์แล้วยังขาดชีวิต และน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า อนาคตของป่าผืนนั้นจะเป็นเช่นไร

 

ตลาดนัดจตุจักร…สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง  

 

เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ตลาดนัดสวนจตุจักรถูกตราหน้าจากวงการอนุรักษ์ทั่วโลกว่า เป็นแหล่งค้าขายนกและสัตว์ป่าขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีความพยายามกวาดล้างกันหลายครั้ง หลายยุคหลายสมัย แต่ในมุมหนึ่งสวนจตุจักรยังกลับมาเป็นฝันร้ายของวงการอนุรักษ์สัตว์ป่าอยู่เสมอ

 

ความจริงตลาดนัดวันอาทิตย์ของกรุงเทพฯ นั้น เป็นสถานที่ซึ่งมีการค้าขายสัตว์ป่าจนเป็นที่รู้จักกันมานาน เดิมทีตลาดนี้ใช้สนามหลวง หรือทุ่งพระเมรุ หน้าพระบรมมหาราชวัง เป็นสถานที่ค้าขาย จนถูกย้ายมาที่บริเวณสวนจตุจักรช่วงปลายปีพ.ศ. 2524 การที่ตลาดย้ายมายังสถานที่ซึ่งกว้างขวาง ทำให้เกิดการขยายตลาดครั้งใหญ่ จำนวนร้านขายสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หน่วยงานของรัฐหลายแห่งซึ่งมีที่ดินอยู่บริเวณใกล้เคียง ได้อนุญาตให้เอกชนเข้าดำเนินการใช้พื้นที่โดยรอบสวนจตุจักร เพื่อให้ผู้ค้ารายย่อยได้เช่าทำประโยชน์ต่อ อันทำให้เกิดตลาดนัดเอกชนใหม่ขึ้นอีกสองแห่งคือ ตลาดนัดซันเดย์ และตลาดนัดจตุจักรพลาซ่า พื้นที่ดังกล่าวยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม ร้านค้าที่เกิดขึ้นหลายร้านจึงอยู่ในสภาพแออัด และกลายเป็นแหล่งชุมนุมของร้านค้าที่ลักลอบขายสัตว์ป่าผิดกฎหมาย มากกว่าบริเวณตลาดนัดหลักเสียอีก

 

ช่วงปีพ.ศ. 2530-31 มีการสำรวจพบนกป่าวางขายในจตุจักรถึง 276 ชนิดเป็นจำนวนกว่า 70,000 ตัว ร้อยละ 95 ของนกทั้งหมดเป็นชนิดที่พบในประเทศไทย นอกจากนั้นยังพบซากสัตว์ป่าวางขายอย่างเปิดเผยมากมายโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พวกเขาสัตว์ หนังเสือ แต่ภายหลังมีการออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าปี พ.ศ. 2535 เจ้าหน้าที่ของภาครัฐเข้มงวดและเอาจริงเอาจังกับการขายสัตว์ป่าในบริเวณสวนจตุจักรมากขึ้น หลายคนรู้สึกว่าชื่อเสียของตลาดนัดจตุจักรในฐานะแหล่งค้าสัตว์ป่าคงกลายเป็นตำนานไปแล้ว

 

ปลายปีพ.ศ. 2543 สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจการค้านกในตลาดนัดจตุจักรและบริเวณใกล้เคียงอีกครั้ง ระหว่างเดือนธันวาคม 2543 ถึงเดือนพฤษภาคม 2544 โดยพบว่า ตลอดการสำรวจ  24 ครั้ง มีนกถูกนำมาขายทั้งหมด 121 ชนิด รวม 36,495 ตัว ในจำนวนนี้เป็นนกไทยถึง 53 ชนิด และที่น่าตกใจคือ 47 ชนิดที่นำมาขายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย และมีจำนวนทั้งสิ้นถึง 6,215 ตัว นกที่ได้รับการอนุรักษ์ทางกฎหมายเหล่านี้ล้วนถูกจับมาจากธรรมชาติ อาทิ นกแก็ก นกแต้วแล้วหูยาว นกกระติ๊ดใหญ่ปากเหลือง นกกะรางคอคำ นกแก้วโม่ง และเหยี่ยวขาว เป็นต้น ขณะที่ผู้สำรวจแสดงตนเป็นลูกค้า ผู้ค้าจะยืนยันเสมอว่า นกเกือบทุกชนิดสามารถสั่งล่วงหน้าให้ตนไปจัดหามาได้ ไม่ว่าจะเป็นเหยี่ยว นกเงือก นกหัวขวาน นกแต้วแล้ว นกพญาไฟ ฯลฯ

 

การสำรวจดังกล่าวยังได้บันทึกกลวิธีในการขาย ซึ่งพบว่าวันพุธ และวันพฤหัสบดีเป็นวันที่มีการค้าขายนกและสัตว์ป่ามากที่สุด โดยปกติจะมีการนำส่งนกในวันอังคารและเช้าวันพุธก่อน 8.00 น. และเริ่มต้นขายราว 11.00 น. นกที่ถูกส่งมาแล้วจะถูกนำมาวางไว้หลังแท็งค์น้ำของแผงร้านค้า เพื่อปกปิดไม่ให้คนเห็นจนกว่าจะถึงเวลาขาย คนส่งนกและสัตว์ป่าจะใช้รถกะบะขนส่ง ซึ่งบางรายจะเปิดขายจากหลังรถเลย เพื่อเป็นการสะดวกในการซ่อนหลักฐานและหลบหนี ในวันเวลาดังกล่าวจะมีลูกค้าประจำมาแวะเวียนทุกสัปดาห์ จากการพูดคุยของคณะสำรวจทำให้ได้ข้อมูลว่า ข้าราชการหลายรายเป็นลูกค้าประจำที่ซื้อนกป่าซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้

 

คนขายยังอ้างด้วยว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ อย่าง แมวป่า เสือโคร่ง หรือ แม้แต่สมเสร็จ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวนหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย ก็สามารถสั่งซื้อได้ โดยสัตว์หายากเหล่านี้มักจะมีราคาแพงมาก และนำมาแสดงไม่ได้ แต่จะซ่อนไว้ในที่เก็บแห่งอื่น ลูกค้าประจำ หรือผู้ซื้อที่ต้องการจริงๆ จะมาติดต่อกับผู้ขายและรับของกันเองโดยตรง บางรายให้ข้อมูลว่า มีการส่งออกนกป่าบางชนิดออกไปขายยังต่างประเทศเป็นพันๆ ตัว เช่น นกกางเขนดงซึ่งถูกส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากมีความต้องการนกชนิดนี้สูง โดยเฉพาะตัวที่มีหางยาวสมบูรณ์  พ่อค้าบางรายเปิดเผยว่า นกหายากมากๆ บางชนิด เช่น นกกระเรียน นกช้อนหอย นั้นได้มาจากตลาดตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา

 

อาสาสมัครของสมาคมอนุรักษ์นกฯ คนหนึ่งผู้ร่วมเก็บข้อมูลในการสำรวจเล่าให้ผมฟังว่า นอกจากสัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตจะถูกนำมาขายเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีร้านค้าบางแห่งขายซากสัตว์ป่า และเขาสัตว์ โดยอ้างว่า เขาส่วนใหญ่ที่วางในร้านเป็นเขาปลอมที่ทำจากเรซิน หรือไม่ก็เป็นเขาสัตว์ต่างประเทศ แต่หากทำทีเป็นสนใจสัตว์ป่าจริงๆ คนขายจะนำเอาแคตตาล๊อกซึ่งเป็นอัลบั้มรูปถ่ายมาให้ดู ภายในเป็นภาพผู้ขายถ่ายคู่กับซากสัตว์ป่าผิดกฎหมายหลายชนิด เหมือนเป็นการยืนยันว่า มีของจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังเสือโคร่ง ที่ตั้งราคาอยู่ที่ 100,000 ถึง 250,000 บาทแล้วแต่สภาพ เขากระทิง เขาวัวแดง หนังเสือลายเมฆ หัวนกเงือก ถ้าต้องการซื้อก็ให้วางเงินมัดจำและจดรายการที่ต้องการสั่งเอาไว้ พร้อมกับที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ส่วนใหญ่ต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อยสองถึงสามเดือน เมื่อได้ของมาแล้วจึงจะมีการนัดส่งของโดยตรงอีกครั้ง พร้อมกับชำระเงินส่วนที่เหลือ

 

การค้าสัตว์ป่าที่ตลาดนัดจตุจักรนั้น แม้จะถือเป็นเพียงส่วนปลายของปัญหาที่ใหญ่โตและซับซ้อนระดับประเทศ แต่ต้องถือว่า เป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นตลาดค้าส่งที่มีพ่อค้าคนกลางอยู่เป็นจำนวนมาก บุคคลเหล่านี้เองมีบทบาทสูงในการสร้างความต้องการของตลาดค้าสัตว์ป่า และทำให้เกิดการสั่งซื้อสัตว์ป่าทั่วประเทศ อันเป็นต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง ถ้ามีการปราบปรามผู้ค้าสัตว์ป่าในตลาดจตุจักรและบริเวณใกล้เคียงอย่างเข้มงวด ย่อมเป็นการประกาศให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหา

 

ผมนึกสงสัยเล่นๆ ว่า ตลอดระยะเวลา 34 ปี ของตลาดนัดจตุจักรมีนกป่ากี่ตัว ซากสัตว์ป่ากี่ชนิดที่มีการซื้อขายกันที่นี่ ผมหวั่นใจเมื่อนึกไปถึงความจริงที่ว่า มีตลาดค้าสัตว์ป่าใหญ่บ้างเล็กบ้างกระจายอยู่ตามจุดผ่านแดนทั่วประเทศอีกถึง 36 แห่ง มีจุดผ่อนปรนในการข้ามแดนอีก 64 แห่ง และจุดข้ามแดนที่ไม่มีการควบคุมอีก 917 แห่ง นกและสัตว์ป่าบางส่วนที่ขายอยู่ที่นี่ถูกนำมาจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านเส้นทางเหล่านี้ ในขณะที่อีกหลายชนิดถูกส่งมาจากดินแดนไกลโพ้น หรือในทางกลับกันสัตว์ป่าจากเอเชียก็ถูกส่งออกไปไกลยังต่างแดน ผมสงสัยจริงๆ ว่า ทั่วโลกจะมีตลาดค้าสัตว์ป่าอย่างจตุจักรอีกกี่แห่ง แล้วใครจะปิดฉากขบวนการค้าชีวิตเหล่านี้ลงได้